วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

 พระทรงลนลานต้านผีคอมมิวนิสต์

............
............

กลางปี 2509 พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลและพระราชวงศ์ได้เสด็จประทับประเทศอังกฤษเป็นเวลา 11 สัปดาห์ ทรงประทับที่คฤหาสน์ ชานเมืองกรุงลอนดอนของมหาราชาแห่งชัยปุระ เสด็จเยือนสโมสรแล่นเรือใบสองครั้งทรงแล่นเรือกับฟ้าหญิงอุบลรัตน์

ปลายเดือนกรกฎาคม เสด็จรับฟ้าชายวชิราลงกรณ์จากโรงเรียนคิงส์มีด King’s Mead Preparatory School วันที่ 28 กรกฎาคม 2509 ชาวไทยในลอนดอนได้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพ 14 ชันษาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมราชวงศ์เบลเยียม เสด็จเปิดวัดไทยที่ลอนดอน

ในฤดูร้อนปีนั้น นิตยสารไทม์ตีพิมพ์รายงานชื่นชมประเทศไทย มีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่บนหน้าปกโดยพาดหัวว่าในดินแดนที่เกือบทุกบ้านมีรูปในหลวง และเขียนว่า ในหลวงภูมิพลทรงถือเป็นภารกิจในการหล่อหลอม เอกลักษณ์ของชาติของพระองค์ และบอกว่า ภัยคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การกดขี่และความหวาดกลัวว่าชาติจะล่มจมเป็นความรู้สึกที่ปกคลุมเอเชียอยู่ในตอนนี้ ยกเว้นก็เพียงแต่ แผ่นดินใต้พระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลและพระราชินีสิริกิติ์เท่านั้น (คือราชอาณาจักรไทย)ที่ร่มเย็นเป็นสุขและมั่นคง

พระราชกรณียกิจในวันจักรีในเดือนเมษายนปี 2509 คือ ทรงรับมอบรถลิมูซีนเมอร์เซดีสเบนซ์สีเหลืองคันใหม่ พระราชทานกระบี่แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ทรงทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา 868 คนจากสองมหาวิทยาลัย(จุฬาและธรรมศาสตร์) มีการฉลองครบรอบเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกโดยมีนักดนตรีไทย 1,400 คนบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ตลอดทั้งคืน ทรงเป่าแซ็กโซโฟนร่วมกับวงจนถึงตีสองโดยมีการออกอากาศทางวิทยุ อ.ส. ถึงสัปดาห์ละสี่ครั้ง

ในหลวงมักจะเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัด ครั้งหนึ่งทรงเสด็จพระดำเนินเป็นระยะทางกว่า 15 กม.เพื่อเสด็จเยือนหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองพระองค์พระราชทานอาหารและยาแก่ชาวเขา ที่เป็นเป้าหมายของพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งผู้นำเผ่าชาวเขาเหล่านั้นให้คุณค่าแก่เหรียญเงินเล็กๆที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัวเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด

และการกล่าวถึงงานอดิเรกต่างๆ ที่ในหลวงทรงทุ่มเททรงต่อเรือและทรงแล่นเรือข้ามอ่าวไทย ซึ่งติดตามโดยเรือยนต์เจ็ทที่ทรงออกแบบขึ้นใหม่โดยพระองค์เอง แล้วยังบอกอีกว่าโครงการส่วนพระองค์ปัจจุบันคือ ทรงสร้างเฮลิค็อปเตอร์ด้วยพระองค์เอง ซึ่งที่จริงแล้วในหลวงไม่ได้ทรงประดิษฐ์เครื่องยนต์เรือเจ็ทหรือเฮลิค็อปเตอร์แต่อย่างใดทั้งสิ้น เรื่องโอ้อวดสรรเสริญพระบารมีแบบนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาในเมืองไทย แต่ว่าอาจจะน่าขายหน้าหากได้รับการเผยแพร่ในระดับนานาชาติ

เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นที่ชื่นชมยินดีชื่นมื่นในพระราชอาณาจักรไทย ถึงแม้จะมีการค้าประเวณีขนาดใหญ่ที่ได้รับการอุดหนุนโดยการตั้งฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย และมีชาวเขาปลูกฝิ่นอยู่ถึง 250,000 คน

ที่สำคัญช้างเผือกเชือกที่สามในรัชกาลที่ 9 เพิ่งถูกค้นพบในสัปดาห์ก่อนหน้านั้นเอง ส่วนเรื่องการเมืองมีแต่คนต่างชาติเท่านั้นที่ใจร้อนสำหรับประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาได้ทำการร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลาเจ็ดปี และอาจร่างต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนด และไม่มีใครรีบร้อน ความเป็นจริงก็คือคนไทยที่ง่ายๆ สบายๆ แทบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก คือไม่ได้คิดหรือมีปัญหาอะไร อีกทั้งเรื่องชนชั้นและสถานะก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับใครมากมายเลย แม้จะมีผู้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่มากมายก็ตาม

แต่มีปัญหาว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยรวมถึงพวกเจ้าบางคนต้องการให้พระเจ้าอยู่หัวเอาจริงเอาจังกับการปกครองประเทศมิใช่แค่สวมบทบาทพระมหากษัตริย์ที่ได้แต่ฉาบฉวยไปเรื่อยๆอย่างการเสด็จเยือนอังกฤษและความจริงที่เกิดในประเทศไทยก็ไม่ได้สวยสดงดงามและสมบูรณ์แบบอย่างที่นิตยสารไทม์เสนอรายงานเทิดพระเกียรติเอาไว้

อย่างน้อยพวกเขาก็กำลังเผชิญภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ จะทำเล่นๆไม่ได้ จึงเริ่มมีคำวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนซึ่งทำให้ในหลวงภูมิพลขุ่นเคืองพระทัยและทรงต้องรับการท้าทายนี้ ทรงลดงานอดิเรกลง เลิกการเสด็จประพาส และทรงเริ่มสวมบทบาทผู้นำสูงสุดของประเทศ ทั้งๆที่ภัยจากพวกคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยนั้นเบาบางและเล็กน้อยกว่าในประเทศๆอื่นๆ ส่วนใหญ่ในเอเชีย

แต่การกดขี่ปราบปรามที่รุนแรงของระบอบเผด็จการสฤษดิ์และถนอม-ประภาส บวกกับความล้าหลังทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทต่างหากที่กระตุ้นการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพราะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศขาดการพัฒนา

ชาวนาจำนวนมากต้องเช่าที่ทำนา พื้นที่ทำการเพาะปลูกก็ลดน้อยลง เนื่องจากการเพิ่มของจำนวนประชากร ขณะที่ตลาดแรงงานในเมืองก็ยังไม่เป็นที่น่าสนใจของประชาชน รัฐบาลในกรุงเทพฯ ก็ยังปฏิบัติต่อคนจนอย่างถืออำนาจอยู่เหมือนเดิม จังหวัดที่อยู่ห่างไกลถูกปฏิบัติเหมือนเป็นแค่เมืองขึ้นที่ถูกรัฐบาลฉกฉวยเอาทรัพยากร และเก็บแต่ภาษี แถมยังปราบปรามผู้ที่กระด้างกระเดื่อง

พื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุดยังคงเป็นภาคอีสาน ภาคใต้และบริเวณเทือกเขาใกล้พรมแดนในภาคเหนือและภาคตะวันตก ประชาชนในภูมิภาคเหล่านี้มักจะมองรัฐ ราชการและทหารเป็นผู้กดขี่ที่ชอบรังแกและเอาเปรียบ ในขณะที่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ก็มองชาวบ้านว่าหัวแข็ง กระด้างกระเดื่อง ไม่เป็นไทย และกล่าวหาพวกเขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในปี 2500 นั้นยังไม่มีขบวนการคอมมิวนิสต์ไทย แต่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น นักวิชาการหนุ่มจิตร ภูมิศักดิ์ได้ตีพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์สังคมไทยแนวมาร์กซิสชิ้นสำคัญคือโฉมหน้าศักดินาไทยที่ท้าทายวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเจ้าโดยตรงเหมือนที่นายปรีดีทำในการปฏิวัติ 2475

จิตร ภูมิศักดิ์ได้สืบสาวย้อนรอยโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจสมัยใหม่ไปจนถึงสังคมเจ้าศักดินายุคเก่า โดยกล่าวว่าระบบชนชั้นของไทยนั้นแทบไม่ต่างจากระบบศักดินาของยุโรปเลยและเสนอโดยนัยว่าพระมหากษัตริย์ก็เป็นเพียงเจ้าที่ดินรายใหญ่ที่สุดหรือเป็นศักดินาใหญ่เท่านั้นเอง เป็นคำอธิบายถึงช่องว่างอันมหาศาลระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนในสังคมไทย

เผด็จการสฤษดิ์ได้ดำเนินการกำจัดและจับนักการเมืองฝ่ายค้าน นักหนังสือพิมพ์และปัญญาชนนับร้อยๆคนจิตร ภูมิศักดิ์ ติดคุกอยู่เป็นเวลาแปดปี การปราบปรามที่รุนแรงบวกกับอุดมการณ์ของจิตร ภูมิศักดิ์อาจมีส่วนสำคัญพอๆกันในการเกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)

ในเดือนมิถุนายน 2504 ครูครอง จันดาวงศ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับความนิยมคนหนึ่ง ผู้เป็นอดีตเสรีไทยและสนับสนุนคนยากคนจนและการปกครองตนเองของอีสาน ถูกจับกุมและประหารชีวิตด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 17 ด้วยข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้น ภรรยาและลูกสาวของครูครองพร้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหา นักสังคมนิยม นักต่อสู้เพื่อสิทธิชาวนาและนักต่อสู้ชาตินิยมลาวจำนวนหนึ่งก็พากันหลบหนีเข้าป่าบริเวณเทือกเขาภูพานจังหวัดสกลนคร ติดต่อกับขบวนการปะเทดลาวและเวียตมินห์

กลายเป็นแกนนำของพคท.หรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเดิมชื่อพรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยสหายโฮจิมินห์ (HO Chi Minh)หรือลุงโฮ วีรบุรุษนักปฏิวัติเวียดนามตัวแทนคอมมิวนิสต์สากล(Comintern)และเป็นประธานก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆที่โรงแรมตุ้นกี่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(Communist Party of Thailand -CPT)ก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน

พคท.ขยายตัวอย่างช้าๆ เป็นหย่อมๆ ได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากฮานอยและปักกิ่ง จากฐานที่มั่นบนเทือกเขาในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาชักชวนชาวเขาและชาวนาพื้นราบที่รู้สึกถึงการกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐและพ่อค้าท้องถิ่น

ปลายปี 2505 จีนเริ่มกระจายเสียงวิทยุสถานี เสียงประชาชนแห่งประเทศไทย(สปท) จากมณฑลยูนนาน (1 กรกฎาคม 2505 พคท.เปิดสถานีวิทยุ ระยะแรกตั้งอยู่ในเขตลาวพรมแดนลาว-จีน ต่อมาย้ายไปอยู่ในมณฑลยูนานของจีนใช้ความถื่คลื่นสั้น /short wave รับฟังได้ชัดเจนทั่วประเทศไทย เริ่มส่งกระจายเสียงปี 2508 ถึง 2523 สมัยนายกพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้เจรจากับจีนให้หยุดส่งกระจายเสียง) ในต้นปี 2507 จำนวนสมาชิกของพคท. น่าจะมีอยู่หลายร้อย แต่ไม่ถึงหลายพัน แต่สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นที่กรุงเทพฯและวอชิงตันในเดือนมกราคม 2506 เมื่อกองกำลังของขบวนการคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวโจมตีท่าแขกเมืองชายแดนของลาว ที่อยู่ห่างจากภูพานไปเพียง 100 กิโลเมตร

การปะทะกันครั้งแรกจริงๆ ระหว่างรัฐบาลและ พคท. เกิดขึ้น 20 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 7 สิงหาคม 2508 ตำรวจบังเอิญพบการประชุมวงเล็กๆของพคท.ที่หมู่บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร สกลนคร เกิดการต่อสู้กันขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ แปดเดือนต่อมา(5 พฤษภาคม 2509) จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก ก็ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ในบริเวณใกล้ภูพาน

หลายคนมองว่าเป็นสัญญานว่าประเทศได้เผชิญการลุกฮือเต็มรูปแบบแล้ว เหมือนที่เกิดขึ้นในลาวและเวียดนาม เจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่าคอมมิวนิสต์อาจยึดประเทศไทยได้ ทั้งในทางสภาหรือการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ นักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่าประเทศไทยจะเป็นโดมิโนหรือลูกระนาดตัวต่อไป แต่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า“มันแปลกพึลึกดีที่การต่อต้านคอมมิวนิสต์ไม่เพียงแต่จะเกิดก่อนที่จะมีคอมมิวนิสต์จริงๆ แต่มันยังขยายใหญ่โตกว่าคอมมิวนิสต์เป็นหลายเท่า” ซีไอเอก็มีรายงาน(1 มิย.2509)ว่ามันเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างสถานการณ์ของบประมาณจากสหรัฐ

กรุงเทพฯ ก็มีปฏิกิริยาตอบรับโดยจัดตั้งกองอำนวยการปราบปรามคอมมิวนิสต์(กอปค.)บัญชาการโดยรองนายกรัฐมนตรีพลเอกประภาส จารุเสถียร พร้อมที่ปรึกษาชาวอเมริกัน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นกอรมน.) เบื้องหลังพวกเขาก็คือกองทัพมหึมาที่สหรัฐฯได้สร้างขึ้นมาในไทยและยึดกุมประเทศไทยเหมือนเป็นการยึดครอง

ในต้นทศวรรษ 2500 ทหารอเมริกันและไทยมีปฏิบัติการกองโจรในลาว โจมตีลาวและเวียตนามทางอากาศจากฐานทัพในไทย เมื่อถึงปี 2508 มีทหารและหน่วยข่าวของสหรัฐฯ อยู่ในไทยถึง 14,000 คน ปีถัดมาจำนวนเพิ่มเป็น 34,000 คนและเครื่องบินกว่า 400 ลำ กองทัพอเมริกันมีหน้าที่ขัดขวางการลุกฮือภายในประเทศไทยพร้อมไปกับการให้การสนับสนุนเวียตนามใต้สู้กับพวกคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือ และค้ำจุนการปกครองของเผด็จการทหารในไทย


สหรัฐฯไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาความยากจนและการข่มเหงรังแกเอารัดเอาเปรียบที่เป็นตัวเชื้อให้พคท.เติบโต วอชิงตันได้ทุ่มเททรัพยากรเพื่อชนะใจประชาชนด้วยการพัฒนา โดยหวังว่าจะไม่ให้ซ้ำรอยเวียตนาม โครงการต่างๆ ภายใต้การกำกับของสหรัฐฯ คือการสร้างถนน ขุดบ่อเลี้ยงปลา และจัดบริการสังคมในหมู่บ้านชนบท 

ภายในเวลาไม่กี่ปีงบประมาณที่สหรัฐฯใช้จ่ายในไทยแต่ละปีมีมูลค่าเท่ากับผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดของภาคอีสานทั้งภาค ส่วนใหญ่หมดไปกับงานโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์และเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์


ความช่วยเหลือและการดำรงอยู่ของสหรัฐฯ อาจจะทำให้ปัญหาเลวร้ายลงไปอีก เพราะงบประมาณหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ จากวอชิงตันส่วนใหญ่รั่วไหลเข้ากระเป๋าของชนชั้นนำ เจ้าที่ดิน พ่อค้าใหญ่ ข้าราชการและทหารระดับสูงของไทย รัฐบาลทหารของไทยใช้งบประมาณซื้ออาวุธถึงสามเท่าของงบประมาณสำหรับการศึกษา งบสาธารณสุขยิ่งน้อยกว่านั้นอีก



เศรษฐกิจเติบโตพร้อมด้วยอัตราเงินเฟ้อสูงในบริเวณใกล้ฐานทัพ ทหารจีไอพักผ่อนเมามายหาความสุขทั่วราชอาณาจักร ธุรกิจทางเพศเติบโตอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้น สภาพความในชนบทก็เลวร้ายลง




หลังจากเหตุการณ์เสียงปืนแตกในเดือนสิงหาคม 2508 การปะทะระหว่างพคท.หรือกลุ่มอื่นๆกับฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 150 ครั้งในปี 2509 ส่วนใหญ่ในภาคใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิตไป 47 คนและฝ่ายตรงข้าม 97 คน การปะทะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่า จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นประมาณนั้น บางส่วนในรัฐบาลกับที่ปรึกษาอเมริกันตื่นตระหนกว่าคอมมิวนิสต์กำลังลุกฮือ และต้องมีการปราบปรามก่อนที่จะมีการเปิดทางให้เวียตนามบุกเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องเกินจริงอย่างมาก และทำให้เกิดความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตระหนกหวาดผวากับการนำของกองทัพที่ทุจริตคอรัปชั่นและไร้ประสิทธิภาพ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเองก็ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตอนแรกปัญญาชนอนุรักษ์นิยมกลุ่มเล็กๆ กล้าเสนอความเห็นว่าในหลวงภูมิพลไม่ได้ทรงกระทำการที่เป็นประโยชน์อันใด พอๆกับพวกราชวงศ์มือสมัครเล่นของยุโรปที่ต้องสิ้นราชวงศ์ไปแล้ว

นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรได้เหน็บแนมในหลวงภูมิพลให้ทรงเลิกเล่นเป็นกษัตริย์และให้ใช้พระราชอำนาจในการนำพาประเทศอย่างจริงจังเสียที สื่อต่างประเทศก็ได้วิจารณ์บทบาทของพระเจ้าอยู่หัวในทำนองเดียวกันโดยรายงานว่าในหลวงภูมิพลว่าทรงมีพระราชอัธยาศัยดีแต่ก็ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายหรือหาสาระไม่ค่อยได้ และประเทศไทยก็ไม่จริงจังกับการป้องกันตนเองในภาวะสงครามเย็น

นิตยสารไทม์ ปี 2509 และนักข่าวทั่วไปได้เริ่มวิจารณ์รัฐบาลทหารของไทยเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การมีกองกำลังทหารสหรัฐฯส่งผลเสียต่อสังคมไทย และการบริหารที่หย่อนยานกับการขาดสถาบันที่เป็นประชาธิปไตยยิ่งซ้ำเติมปัญหาความยากจนและเติมเชื้อให้กับภัยคอมมิวนิสต์

หลุยส์ โลแมกซ์ Louis Lomax (นักข่าวนักเขียนและนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพชาวอเมริกันผิวดำที่มีชื่อ) ได้เขียนในหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยว่าในหลวงภูมิพลไม่ได้มีความสำคัญหรือมีบทบาทอะไรอีกแล้วทรงเป็นเหมือนตัวการ์ตูนฝรั่งที่ชอบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองเพื่อให้ปลอดภัยแบบเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง

อย่างดีที่สุดในหลวงภูมิพลทรงทำได้แค่จำกัดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หรือความน่ารังเกียจเน่าแฟะของรัฐบาลไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ปัญญาชนได้คลายความเชื่อถือและศรัทธาที่มีต่อพระองค์ และด้วยความแตกแยกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ไม่สามารถเป็นศูนย์รวมจิตใจของประเทศได้อีกต่อไปแล้ว

คำวิจารณ์และคำตำหนิสารพัดว่าในหลวงภูมิพลไม่ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความกินดีอยู่ดีของพสกนิกรอย่างแท้จริง แต่ทรงใช้เวลามากมายไปกับดนตรีแจ๊สการแล่นเรือใบการประลองความเร็วและพระราชพิธีรีตองต่างๆสารพัด

คำวิจารณ์ต่างๆเหล่านี้สร้างความขุ่นเคืองพระทัยต่อพระองค์ภายใต้พระพักต์ที่เคร่งขรึมไร้รอยยิ้ม โดยได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นิตยสารลุ้ค Look ที่เป็นคู่แข่งของไทม์ Time ในปี 2510 ว่า: คนอเมริกัน โดยเฉพาะที่เป็นนักเขียน ดูจะชอบแต่อะไรที่เป็นกระแสนิยม

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในดินแดนตะวันออกไกลที่ดูแปลกประหลาด พวกคุณเรียกกันอย่างนี้ใช่ไหม? มีพระราชาที่ทรงล่าสิงโต ทรงประทับบนหลังช้าง เป็นแค่คนที่เห็นแต่อัญมณีบนหลังคาวัด พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่าอัญมณีนั้นอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่อยู่บนหลังคาวัด ตอนนี้พวกเขาเรียกเราว่ากษัตริย์ที่หลงใหลแจ๊ซ เราก็ต้องอดทน ความจริงก็คือเราไม่ได้มีแซ็กโซโฟนทองคำ และไม่เคยมี และมันคงจะหนักน่าดู และกษัตริย์ “ที่ชอบขับรถเร็ว ชอบความเร็ว” นั้น เราก็ต้องทน เราไม่โกรธเนื่องการจัดคนเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่เราไม่เชื่อว่ามันเป็นการสร้างสรรค์หรือเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา

ต่อข้อวิจารณ์ที่ว่าพระองค์หลุดหรือเหินห่างจากประชาชน ทรงโต้แย้งโดยอ้างว่าธรรมราชามีญาณหยั่งรู้โดยธรรมชาติเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงบอกแก่พระองค์ในสิ่งที่จะไม่บอกแก่คนอื่น เราเชื่อว่าเราใกล้ชิดกับประชาชนและรัฐบาล ในการบริหารงานแผ่นดิน เรามีการรายงานสองประเภท แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ หลายหน่วยงานเขียนรายงานที่ไม่เป็นทางการเกี่ยวกับหน่วยงานอื่นๆ ให้เราได้อ่าน”

แต่พระองค์ก็ทรงเข้าใจประเด็นของนักวิจารณ์อเมริกันโลแมกซ์ Lomax ที่ว่าการฟื้นสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาตามแนวทางแบบเก่านั้นไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากนัก พิธีกรรมต่างๆและสัญลักษณ์ถึงโลกที่ดีงามนั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตชาวบ้านดีขึ้น แต่ความด้อยพัฒนาและการที่ราชการและนายทุนเอาเปรียบชาวบ้านนั้นทำให้พคท.ขยายตัว บรรดาที่ปรึกษารุ่นเก่าโบราณคิดไม่ออกว่าจะให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทำอะไรอื่นนอกจากการสร้างภาพและเรียกร้องความสามัคคีของชาติ แต่พระองค์ทรงมีพระชนม์ใกล้จะ 40 ชันษาแล้ว ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ทรงครองพระราชบัลลังก์มาได้ทำให้พระองค์ทรงรับรู้คุ้นเคยกับสภาพปัญหาและการเมืองของไทยมากกว่าผู้นำคนอื่นๆ และทรงมีความเข้าใจในปัญหาความมั่นคงอย่างดีพอสมควร

พระยาศรีวิสารวาจาองคมนตรีที่ปรึกษาของพระองค์ก็เป็นที่เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพระองค์ก็ทรงพบปะผู้นำชาติต่างๆ ทรงฟังรายงานจากนักการทูต ผู้เชี่ยวชาญการข่าว ผู้นำทางทหาร นายทุน และผู้เชี่ยวชาญงานพัฒนา จากรัฐบาล จากจดหมายที่พสกนิกรเขียนมาถึงพระองค์ ทรงติดตามฟังวิทยุ อ่านรายงานข่าว รวมทั้งคำวิพากษณ์วิจารณ์ จึงส่งผลให้ทรงเกิดความมุ่งมั่นที่จะได้รับการยอมรับนับถือในฐานะผู้นำที่แท้จริง

ทรงลดงานอดิเรกลง และทรงมุ่งเข้าสู่สงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ เริ่มแรกทั้งสองพระองค์เสด็จออกงานพระราชพิธีและทรงพบปะผู้คนบ่อยครั้งขึ้นจาก 341 ครั้งในปี 2508 เป็น 553 ครั้งในปี 2512

เครื่องราชถูกแจกจ่ายมากขึ้นให้กับผู้บริจาคในงานการกุศลของพระองค์ และถือเป็นระเบียบว่านายทหารและข้าราชการระดับสูงจะได้รับกันเกือบทุกคน มีการเน้นเรื่องความสามัคคีของคนในชาติเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทรงพาดพิงบ่อยครั้งขึ้นถึงภัยคุกคามและปัญหาต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน และตรัสถึงความสัมพันธ์ของความยากจนกับสถานการณ์ของประเทศไทยเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติรอบๆสถาบันพระมหากษัตริย์

เริ่มโครงการแจกจ่ายพระพุทธนวราชบพิตรให้เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดและกรมกองทหารเพื่อแทนตัวพระเจ้าอยู่หัวทั่วพระราชอาณาจักร เหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์เขมรโบราณได้เผยแพร่รูปเคารพของตนไปทั่วอาณาจักรเขมรโดยทำพระพุทธรูปที่มีพระพักต์ของพระองค์เองแจกจ่ายไปตามเมืองต่างๆที่คนไทยเรียกว่าท้าวพรหมทัต

ทรงพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรองค์แรกให้กับจังหวัดหนองคายที่อยู่ตรงข้ามกับนครเวียงจันทน์เมืองหลวงของลาวซึ่งมักถูกกล่าวหาเรื่องมีส่วนก่อความยุ่งยากในภาคอีสาน เป็นการส่งสัญญาณถึงชนชาติลาวและคอมมิวนิสต์ทั้งสองฟากฝั่งโขงว่านี่คือพระราชอาณาจักรของพระองค์



พิธีมอบพระพุทธรูปให้แต่ละจังหวัดนั้นมีการเขียนบทให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นทั้งองค์พระประมุขของประเทศและเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ คือเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าพร้อมๆกันไป คล้ายงานเลี้ยงรับรองของอินเดียเมื่อร้อยปีที่แล้วที่ตัวแทนชนเผ่าต่างๆ ในแคว้นมารวมตัวกันเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาที่อังกฤษตั้งขึ้น..(เพราะในหลายๆจังหวัดก็ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีแต่อย่างใด) กรมการศาสนาพยายามตั้งวัดหลวงเพื่อเป็นตัวแทนธรรมราชาของราชวงศ์จักรีในแต่ละจังหวัด แม้ว่าวัดนั้นๆจะไม่ได้มีประวัติเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีมาก่อนเลย โดยพยายามสร้างเรื่องยัดเยียดว่าท้องถิ่นนั้นมีความผูกพันเชื่อมโยงกับราชวงศ์จักรีให้ได้

ในหลวงภูมิพลยังได้ทรงแสดงความเป็นชายชาติทหารนักรบในมาดใหม่ ทรงสวมบทบาทของจอมทัพไทยอย่างจริงจัง ทรงเริ่มแสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อปฏิบัติการทางทหารของกองทัพสหรัฐฯและกองทัพไทยในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้อย่างจริงจังในเดือนกุมภาพันธ์ 2509 ระหว่างที่นายฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ Hubert Humphrey รองประธานาธิบดีสหรัฐฯมาเยือนไทย ได้ทรงร้องขอให้สหรัฐเพิ่มความช่วยเหลือมากขึ้นในการรับมือกับการคุกคามของคอมมิวนิสต์ ในระหว่างการสนทนาเปรียบเทียบสถานการณ์ของเวียตนามและไทยทรงร้องขอเครื่องมือบางอย่างสำหรับใช้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ(คือเครื่องบินทำฝนเทียมและเครื่องบินพระที่นั่ง) และทรงบ่นถึงความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือจากวอชิงตัน

ฤดูร้อนปีนั้น ระหว่างเสด็จเยือนประเทศอังกฤษ ทรงประกาศหลายครั้งว่าจีนและเวียตนามเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประเทศไทย ทรงบอกกับผู้สื่อข่าวว่า จุดประสงค์หนึ่งของการเสด็จเยือนอังกฤษของพระองค์คือการซื้อเครื่องบินรบสำหรับกองทัพอากาศไทย และเสด็จเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินหลายแห่งในอังกฤษและเยอรมัน และทรงเข้าร่วมงานแสดงเครื่องบินรบที่ฟาร์นโบโร่ Farnboroughอันยิ่งใหญ่(ที่โด่งดังเรื่องการจัดนิทรรศการแสดงเครื่องบินนานาชาติระดับโลก ทุกๆ 2 ปี โดยสมาคมการค้าเครื่องบินของอังกฤษ) ที่จริงการจัดซื้อเครื่องบินรบสำหรับกองทัพอากาศไทยไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์แต่ก็ทรงพยายามเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องด้วย

ได้เสด็จเยี่ยมชมผู้ผลิตเครื่องบินหลายแห่ง โดยเฉพาะโรงงานผลิตเครื่องบินบีเกิ้ล Beagle Aircraft works ของอังกฤษเพื่อหาเครื่องบินสำหรับทำฝนเทียมกับเครื่องบินพระที่นั่งด้วย ในปีเดียวกันทรงโน้มน้าวหรือลอบบี้ให้สหรัฐฯเร่งถล่มฮานอย กระทั่งทรงตำหนิวอชิงตันที่ชะลอการโจมตีเวียตนามเหนือทางอากาศ ทรงกำชับรัฐบาลถนอมให้ส่งกำลังทหารไปปราบปรามพคท.ในภาคอีสานให้มากขึ้น และให้รัฐบาลถนอมเรียกร้องการสนับสนุนจากสหรัฐฯมากขึ้น เนื่องจากไทยได้ตกลงยินยอมส่งกำลังทหารจำนวนมากไปสู้รบในเวียตนามตามคำขอของวอชิงตัน

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีทัศนะต่อสงครามเย็นอย่างตรงไปตรงมาเหมือนพวกอนุรักษ์นิยมทั่วๆไปในเวลานั้น แม้พระองค์จะทรงตระหนักว่ามีสาเหตุที่เกิดจากภายใน แต่พระองค์ก็ยังทรงชี้ชัดลงไปว่ารากเหง้าของปัญหาคอมมิวนิสต์นั้นมาจากภายนอก 

ในการพระราชทานสัมภาษณ์กับนิตยสารลุค Lookในปี2510 ทรงเผยทัศนะที่ว่าอาณาจักรไทยกำลังตกอยู่ในอันตรายทรงกล่าวว่า... ชาวจีนมักจะเป็นภัยคุกคามต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสมอมาเพราะพากเขากระจายไปทั่ว ...ในเมืองไทยมีคนจีนอยู่เยอะและยากที่จะกลืนพวกเขา ...ในหมู่บ้านที่ภาคอีสาน พวกคอมมิวนิสต์มีทั้งคนไทยเชื้อสายจีนหรือไม่ก็เวียตนามเหนือ... โดยทั่วไปประชาชนไม่เชื่อพวกเขา แต่ในที่ชนบทห่างไกล ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ พวกคอมมิวนิสต์ก็จะฆ่าเสีย... แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนในพื้นที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควร ชาวบ้านจึงมีเหตุให้ไม่พอใจและกระด้างกระเดื่อง แต่พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจประเทศไทย หากแต่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่เหล่านั้น คนไทยไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์

ยกตัวอย่าง ถ้าพิจารณาศาสนาของเรา พิจารณากฎเกณฑ์ทั้งหมด มันเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น พระสงฆ์ต่างมีสิทธิ์และปฏิบัติเยี่ยงเดียวกับรัฐสภา แต่ละรูปมีสิทธิทีจะแสดงความเห็นของตน ประชาชนของเราในเมืองไทยจึงมีพื้นฐานสำหรับประชาธิปไตยและชีวิตที่ดี

คอมมิวนิสต์เป็นแนวคิดที่ทำไม่ได้จริง ชีวิตไม่สามารถเป็นไปตามที่แต่ละคนปรารถนาได้ คนที่ทำงานวันนี้ก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนและสิ่งของ ไม่ใช่คนที่ไม่ทำงานคอมมิวนิสต์สามารถเลวร้ายได้ยิ่งกว่านาซีหรือฟาสซิสต์เสียอีก ในทางปฏิบัติมันแย่เสียยิ่งว่าเผด็จการ 

เป็นที่น่าสังเกตว่าพระองค์ทรงให้สัมภาษณ์ในแนวเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลหลังจากใช้อำนาจตามมาตรา17 สั่งประหารครูครอง จันดาวงศ์ โดยที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงย้ำว่าคอมมิวนิสต์เลวร้ายกว่าเผด็จการทหาร ซึ่งก็คือเหล่านายพลของพระองค์ที่กำลังถูกกล่าวหาโดยนักเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ

ทรงบอกนิตยสารลุค Look ว่า...นักศึกษาอเมริกันที่ออกมาประท้วงสงครามเป็นพวกโง่เขลาที่ถูกคอมมิวนิสต์ปั่นหัวประเทศไทยจะต้องระมัดระวังเล่ห์กลเช่นนี้ของคอมมิวนิสต์และเตรียมพร้อมสำหรับ “สงครามที่พิเศษมากๆ ” นี้ ขณะที่คนจีนนับล้านกำลังอดอยาก แต่ประเทศจีนกลับมีระเบิดนิวเคลียร์ ตอนนั้นในอินเดียก็อยากได้ระเบิดแบบนั้นด้วย เมืองไทยเราเจียมตัวเกินไป แต่ไม่แน่ในอนาคต คนไทยอาจจะเจียมตัวน้อยลง ถ้าคนไทยต้องการระเบิด(ปรมาณู) พวกเขาก็จะต้องได้”...

ทรงสวมบทบาทนักต่อต้านและนักปลุกผีคอมมิวนิสต์ตัวยงเลยทีเดียว ทรงพูดจาภาษาเหยี่ยวมากขึ้นทุกทีและออกไปในทางขวาจัดหรือขวาพิฆาตซ้ายเชิงนักเลงหน่อยๆ และทรงใช้เวลามากขึ้นกับกองทัพ ผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเหล่าทหารและทรงแสดงความเป็นผู้นำในภาวะศึกสงคราม เยี่ยงพระมหากษัตริย์ยามออกศึกตามประเพณีโบราณ ราชสกุลมหิดลได้ให้ความใส่พระทัยเป็นการส่วนพระองค์มานานแล้วต่อทหารและตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บในหน้าที่ ทั้งได้เสด็จไปเยี่ยมพวกเขาตามโรงพยาบาล พระราชทานเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวและทรงเป็นเจ้าภาพงานศพเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่

มาคราวนี้ในหลวงภูมิพลทรงหมั่นเสด็จเยี่ยมค่ายทหารและจุดประจำการในพื้นที่มากขึ้น ทรงสวมชุดพรางของทหารโดยมักจะเหน็บปืนพกไว้ที่เอวข้างหนึ่ง วิทยุสื่อสารหรือวอล์คกี้ทอล์คกี้อยู่ที่เอวอีกข้างหนึ่ง สื่อมักจะลงภาพพระองค์ทรงยิงปืนคารไบน์ เอ็ม-16 และปืนกลขนาดต่างๆจากฐานสู้รบ โดยมีพระราชินีสิริกิติ์ประทับอยู่เคียงข้างเสมอฉลองพระองค์ในชุดทหารเหมือนกันและทรงฉายพระฉายาลักษณ์คู่กับปืนคาร์ไบน์ ทหารชั้นนำที่ไปร่วมในสงครามเวียตนามก็ได้เป็นทหารเสือพระราชินี

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ได้ทรงร่วมในการออกศึกไปกับพระราชวงศ์ด้วยเช่นกัน ก่อนจะถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษในเดือนมกราคม 2509 ด้วยพระชนม์ 13 ชันษา ทรงได้รับการถวายยศชั้นร้อยตรีทั้งสามเหล่าทัพ

เมื่อเสด็จกลับประเทศไทยจะทรงสวมชุดสนามและติดตามพระบิดาไปค่าย ตชด. และค่ายทหารอื่นๆ เมื่อพระชนม์ได้ 15 ชันษา ทรงเข้าร่วมการฝึกทหารขั้นพื้นฐานและทรงหัดยิงปืน ไม่นานหลังจากนั้นทรงขึ้นชั้นไปยิงปืนกลหนักและเครื่องยิงระเบิด มีการเผยแพร่พระฉายาลักษณ์สองพระองค์ทรงยิงปืนอยู่ด้วยกัน ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ยังได้ทรงเรียนวิธีถอดทำความสะอาดและประกอบอาวุธหลายชนิด

พระเจ้าอยู่หัวยังทรงให้การทุ่มเทมากขึ้นต่อโครงการพัฒนาต่างๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงตระหนักถึงสาเหตุของปัญหาความไม่สงบที่เกิดจากภายใน โครงการส่วนพระองค์ที่สำคัญคือพื้นที่หุบกะพงใกล้หัวหิน แม้ว่าจะได้สร้างถนนและแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็กต่างๆแล้วแต่การเพาะปลูกก็ยังไม่เป็นผล

ทรงอธิบายว่าสาเหตุก็คือตัวชาวบ้านเองไม่มุ่งมั่นพอที่จะเอาชนะความยากจน ทรงคาดหวังว่าชาวบ้านจะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้หากได้รับปัจจัยการผลิต แต่ชาวบ้านไม่ร่วมมือ กลับกลายเป็นว่า ทันทีที่สร้างถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เสร็จ บางส่วนก็ขายที่ให้กับนักเก็งกำไรที่ดิน มันเป็นวงจรที่รบกวนพระทัยของพระองค์อย่างลึกซึ้งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นั่นคือ เมื่อเห็นเงินก้อนใหญ่แลกกับที่ดิน ชาวบ้านก็คว้าเงินและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหรือกลับเข้าไปบุกรุกที่ดินของรัฐอีกแล้วก็กลับมาจนเหมือนเดิม เพื่อเป็นการต่อสู้กับวงจรอุบาทว์นี้

ในปี 2510 จึงได้ทรงริเริ่มสหกรณ์เกษตรหมู่บ้านที่หุบกะพงตามแบบคิบบุทซ์ของอิสราเอล และถ้าได้ผล พระองค์ก็จะขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนผืนดินที่แห้งแล้งไปสู่ไร่นาที่เขียวขจีพร้อมสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของชาติไปด้วย (คิบบุทซ์ Kibbutzเป็นลักษณะคล้ายสหกรณ์การเกษตร แต่ทุกคนมีอิสระทางความคิด และได้แบ่งปันผลประโยชน์เท่าเทียมกัน และสร้างประเทศอิสราเอลให้เป็นเอกราช และความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในปัจจุบัน)

ทรงเริ่มด้วยการจัดหาที่ดินให้เป็นกองกลางในหุบกะพง ใช้เงินของวังและรัฐบาลซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม แล้วจัดสรรเป็นแปลงๆ สำหรับการเกษตรแบบรวมกลุ่มเกษตรกร120ครอบครัวร่วมเป็นเจ้าของที่ดินราว 10,000 ไร่ แต่ไม่ให้ขายที่ดิน


เจ้าหน้าที่จากวัง รัฐบาลและกองทัพภายใต้การกำกับของกษัตริย์ภูมิพลทำหน้าที่ปรับปรุงดิน สร้างการชลประทาน ส่งเสริมพืชเศรษฐกิจที่ไปกันได้ดีกับการปลูกข้าว และสอนให้ชาวบ้านรู้จักการทำเกษตรวิธีใหม่ ช่วยวางระบบสินเชื่อของชุมชน การดำเนินงานสหกรณ์ และติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานสำหรับไฟฟ้าและประปา

นักธุรกิจไทยที่ต้องการมีส่วนร่วมเสด็จพระราชกุศล ทั้งรัฐบาลอิสราเอลก็ได้ช่วยกันบริจาควัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ ด้วยการระดมการสนับสนุนมากมายอย่างเต็มที่ จะไม่ให้ประสบผลสำเร็จก็คงไม่ได้

คล้ายสำนวนไทยที่ว่าขี่ช้างจับตั๊กกระแตน เพราะระดมสรรพกำลังทุ่มเททุกอย่างแต่ทำได้แค่ชุมชนเดียวเพียงเพื่อสร้างภาพและไม่ให้พระเจ้าอยู่หัวต้องขายหน้าเท่านั้นเองเหมือนผักชีโรยหน้า


โครงการแรกๆ อีกโครงการหนึ่งของพระองค์คือโครงการนมโคเดนมาร์ก ก็กลายเป็นสหกรณ์หนองโพราชบุรีในลักษณะเดียวกัน โดยวังแจกจ่ายแม่วัวแก่เกษตรกร ศูนย์รวมน้ำนม โรงงานแปรรูปและจำหน่ายถูกสร้างขึ้นด้วยเงินจากวังและการบริจาค มีการจัดการเรื่องสินเชื่อ การดำเนินงานสหกรณ์ ทั้งยังจัดการและอุดหนุนการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์นมไปยังโรงเรียนต่างๆ ซึ่งทำได้เพียงที่เดียวเพื่อเอาไว้อวดอ้างความสำเร็จของโครงการพระราชดำริ

นอกจากนี้ทางวังยังได้เร่งโหมโครงการพัฒนาชาวเขาของตชด. โดยมีสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ทรงทำหน้าที่แทนพระเจ้าอยู่หัวระหว่างเสด็จประทับประจำปีในประเทศไทย ทรงให้ความช่วยเหลือทางสาธารณสุขแก่หมู่บ้านชาวเขา

แต่การเสด็จของพระราชชนนีศรีสังวาลย์ก็มีลักษณะแบบทหารมากขึ้นเรื่อยา และมุ่งให้ความสำคัญกับความสามัคคีภายใต้พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรม ทรงเสด็จในชุดพรางของตชด. ประทับเฮลิคอปเตอร์ของตชด.เหาะลงมายังหมู่บ้านชาวเขาจากฟากฟ้าขนาบด้วยทหารติดอาวุธครบมือ ทรงถูกนำเสนอให้เป็นแม่ฟ้าหลวง ผู้เป็นตัวแทนของเจ้าเหนือหัวที่ปกป้องคุ้มครองประชาชน ซึ่งเหนือชั้นกว่ารัฐบาลหรือพวกคอมมิวนิสต์ที่แทบไม่ได้ทำอะไรให้พวกเขาเลย

แพทย์ที่ติดตามเสด็จจะให้การรักษาชาวเขาและทีมงานของพระองค์ก็จะแจกผ้าห่ม ยาและเงินจากนั้นพระราชชนนีศรีสังวาลย์ก็จะทรงอธิบายหลักพระพุทธศาสนาและทรงแจกบทสวดมนต์กับเครื่องรางของขลัง แล้วก็เสด็จกลับขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินจากไป มันเป็นการนำเสนอที่ทรงพลังสำหรับชาวเขาที่นับถือผีสางเทวดา

สมเด็จพระราชชนนีทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้อุปถัมภ์พวกชาวเขา ทรงได้รับสมญานามว่าแม่ฟ้าหลวงผู้เหาะเหินลงมาจากฟากฟ้า(ทางเฮลิคอปเตอร์)และเป็นแม่ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โรงเรียนในหมู่บ้านชาวเขาที่ดำเนินการโดยตชด. ถูกตั้งชื่อตามพระราชวงศ์ในราชสกุลมหิดล พระราชชนนีทรงระดมแพทย์มามากขึ้นในการบินเสด็จเยือนหมู่บ้านชาวเขาและในปี 2512 ก็ได้ทรงตั้งมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ปฏิบัติงานโดยอาสาสมัคร ประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครสายสนับสนุนออกไปให้การ รักษาพยาบาลประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร

โปรดเกล้าฯให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่โดยเสด็จฯเสมอ ต่อมาปี 2516ได้ทรงเริ่มนำระบบการสื่อสารทางวิทยุรับ-ส่ง มาใช้ในการให้คำปรึกษาและ รักษาผู้ป่วย ซึ่ง เรียกว่าแพทย์ทางอากาศ หรือแพทย์ทางวิทยุ ปี 2510 ทรงใช้เงินบริจาคตั้งกองทุนหนึ่งล้านบาทช่วยเหลือตชด.และครอบครัว

พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีบทบาทเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติอย่างจริงจังมากขึ้น ในระหว่างการเสด็จเยือนอเมริกาเหนือเป็นเวลา 25 วันในเดือนมิถุนายน 2510 นอกจากการเสด็จเยือนแคนาดาอย่างเป็นทางการเป็นเวลาสามวันแล้ว ทรงใช้เวลาที่เหลืออยู่ในสหรัฐฯโดยไม่มีฮอลลีวูด ไม่มีดนตรีแจ๊ซหรือพาเหรดโปรยริบบิ้น หากแต่เป็นพระราชกรณียกิจเรื่องความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯและไทยล้วนๆ

ในต้นปี 2510 สหรัฐฯได้ขอให้ไทยส่งกำลังทหาร 20,000 นายไปยังเวียตนามใต้ เพื่อสมทบกับการเคลื่อนกำลังพล 200,000 นายของสหรัฐฯเอง ไทยไม่ปฏิเสธแต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่ต้องเจรจาเช่น ความเหนียวแน่นที่สหรัฐฯมีต่อไทย

ในหลวงภูมิพลทรงเสด็จเยือนสหรัฐฯเพื่อเจรจาประเด็นเหล่านี้ด้วยพระองค์เองพิธีกรรมไม่ได้ขาดหายไปในการเสด็จเยือน ทรงพระราชทานศาลาไทยให้กับอีสต์เวสต์เซ็นเตอร์ที่ฮอนโนลูลู และทรงเป็นประธานงานการกุศลสำหรับเด็กในลอสแองเจลิส แต่จุดประสงค์หลักคือการย้ำความต้องการของไทยต่อชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน นายเนลสัน เอ ร็อกกี้เฟลเลอร์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คและว่าที่ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และ นายเจมส์ ลีเนน James Linen เจ้าของนิตยสารไทม์ Time

ทรงรับปริญญากิตติมศักดิ์ที่วิทยาลัยวิลเลียม Williams College รัฐแมสสาจูเสท ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์จัดงานเลี้ยงถวายทั้งสองพระองค์ที่นิวยอร์คพร้อมด้วยแขกคนสำคัญระดับกำหนดนโยบาย

ในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวทรงเน้นย้ำภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ทั่วทั้งโลกและทรงย้ำว่าคนอเมริกันที่ต่อต้านสงครามเวียตนามได้ตกเป็นเหยื่อของการล้างสมอง ท้ายที่สุดได้เสด็จพบประธานาธิบดีจอห์นสันที่ทำเนียบขาวในวันที่ 27 มิถุนายน2510



และทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันถัดมากับรัฐมนตรีกลาโหมนายโรเบิร์ต แม็คนามารา Robert Mcncmaraแล้วก็กับประธานาธิบดีจอห์นสันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ทรงขอให้สหรัฐฯ ยืนยันรับประกันความมั่นคงของไทยและเลิกสนับสนุนการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลไทย บันทึกการพูดคุยครั้งนั้นยังคงถูกเก็บเป็นความลับ (ทรงให้สัมภาษณ์นายสตีเวนสัน Stevensonภายหลังว่า หัวข้อหลักในการเจรจาก็คือทรงร้องขอเฮลิค็อปเตอร์หลายลำเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาชนบทของพระองค์ และทรงบอกว่านี่คือทั้งหมดที่พระองค์ต้องการเพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ซึ่งประธานาธิบดีจอห์นสันยอมตามคำขอแต่ท่านนายพลแมคนามาร่า Mac Namara ไม่เคยปฏิบัติตาม)

แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเกี่ยวกับการจัดการกับความไม่สงบในไทยและการสนองตอบคำขอของสหรัฐฯ ที่จะให้ส่งทหารไทยไปเวียตนาม เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงว่าทรงเจรจาต่อรองเงื่อนไขในการส่งทหารไทยไปร่วมในสงครามของอเมริกันโดยทรงตั้งข้อแม้ว่าทหารไทยจะเป็นอาสาสมัครและได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติม โดยได้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีขึ้น และได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ยังทรงบอกด้วยว่าทหารไทยที่ไม่ได้ไปเวียตนามก็ยังได้รับค่าตอบแทนต่ำและขาดการฝึกฝน และสมควรต้องได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังได้ทรงขอให้อเมริกากล่าวย้ำถึงคำมั่นสัญญาด้านความมั่นคงต่อประเทศไทยเนื่องจากท่าทีที่อ่อนลงของสหรัฐฯต่อเวียตนามใต้ และไทยก็กลัวว่าการส่งทหารไทยไปเวียตนามจะยั่วยุให้เวียตนามเหนือบุกไทย แต่อเมริกาก็ยังสงวนท่าที ประธานาธิบดีจอห์นสันยังไม่รับปาก และในหลวงก็ทรงได้เรียนรู้ว่าการดำรงอยู่ของสหรัฐฯในอินโดจีนนั้นขึ้นอยู่กับการเมืองภายในของอเมริกาเป็นสำคัญ ประธานาธิบดีจอห์นสันได้กราบทูลพระองค์ว่ามีหนทางเดียวที่ไทยจะป้องกันตนเองได้คือให้ทหารไทยได้มีประสบการณ์การสู้รบจริงในเวียตนาม และเตือนว่าประเทศไทยจำต้องเตรียมกำลังคนไว้ให้ได้มากที่สุดเมื่อเกิดสงครามในดินแดนของตนเอง

ในระหว่างการเสด็จ ทรงได้พบกับ นายเฮนรี่ เคิร์น Henry Kearns นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์รับรองพระราชวงศ์ที่ลอสแองเจลิสในปี 2503 นาย Kearns กำลังวางแผนลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงงานเยื่อกระดาษ แต่มีอุปสรรคจากระบบราชการ ต่อมาได้มีการลงทุนระหว่างสำนักงานทรัพย์สินฯ กับโรงงานเยื่อกระดาษแห่งนี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าได้ทรงเข้ามาช่วยให้โครงการผลิตเยื่อกระดาษนี้ได้เดินหน้าต่อไป หลังเสด็จกลับจากสหรัฐฯ

ในหลวงยังได้ลงมายึดคุมสายงานด้านความมั่นคงระดับล่างคือทรงเข้าไปพัวพันกับตชด.ซึ่งในตอนนั้นเป็นหน่วยงานสำคัญในการปราบปรามความไม่สงบ ตชด.สังกัดกรมตำรวจ เป็นกรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทย แต่มีความเป็นเอกเทศเกือบจะโดยสิ้นเชิง มีเฮลิค็อปเตอร์ราว 23 ลำที่ได้จากสหรัฐฯ ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายกำลังไปตามจุดต่างๆ บริเวณเทือกเขาชายแดนภาคเหนือ สหรัฐฯแสดงความพอใจผลงานของตชด. ด้วยการมอบปืนเอ็ม-16 ใหม่เอี่ยมให้ในปี 2509 ขณะที่กองทัพบกของไทยยังใช้อาวุธเก่า

ส่วนกรมตำรวจที่เหลือก็ได้งบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานสหรัฐฯอีกแห่งหนึ่ง คือ สำนักงานความปลอดภัยของรัฐ Office of Public Safety ซึ่งค่อนข้างปิดลับและทำงานด้านความมั่นคง ของ State Department ซึ่งก็คือกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐเป็นหน่วยงานระดับสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นต่อคณะรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี มีหน้าที่ดูแลงานต่างประเทศโดยมีเลขาธิการของรัฐคือ Secretary of State รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นผู้กำกับดูแลและเป็นตำแหน่งสำคัญมากเพราะสหรัฐมีบทบาทเป็นตำรวจโลก


ในสมัยประธานาธิบดีจอร์ชบุชจูเนียร์ มีนางคอนโดลีซซา ไรซ์ Dr. Condoleezza Riceดูแล


พอมาในสมัยประธานาธิบดีโอบามามีนางฮิลลารี คลินตันHillary Clinton ทำหน้าที่นี้ มีเจ้าหน้าที่มากกว่า 3 หมื่นคน มีขอบเขตหน้าที่ปกป้องและช่วยเหลือชาวอเมริกันในต่างแดน ช่วยเหลือธุรกิจของสหรัฐทั่วโลก ประสานงานละสนับสนุนกิจกรรมระหว่างประเทศของหน่วยงานสหรัฐ แถลงชี้แจงนโยบายด้านการต่างประเทศ รวมทั้งสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อฝ่ายบริหาร ค้นคว้าวิเคราะห์งานด้านการทูต เศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธ์กับ 180 ประเทศทั่วโลกและองค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ มีเจ้าหน้าที่เทคนิคและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 5,000 คน ในสหรัฐคนที่ทำหน้าที่วิเคราะห์รายงานทั่วโลก และยังทำงานประสานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และรัฐสภาหรือสภาคองเกรส

สำนักงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแห่งนี้ได้สนับสนุนให้กรมตำรวจตั้งกองบินของตัวเองขึ้นมาภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของอธิบดีกรมตำรวจ โดยเสนอให้เฮลิค็อปเตอร์ใหม่ 100 ลำพร้อมเชื้อเพลิง แต่มีเงื่อนไขว่าอธิบดีกรมตำรวจจะต้องรวมกองบินของตชด. เข้ามาไว้ในกองบินตำรวจเป็นหน่วยเดียว การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการตัดแสนยานุภาพของตชด. ทำให้ต้องหันไปใช้สัตว์พาหนะ(ล่อ)ขนสัมภาระบนภูเขาอย่างที่เคยทำในทศวรรษ 2490

อธิบดีกรมตำรวจตอบตกลง และสหรัฐฯ ก็เริ่มลำเลียงเฮลิค็อปเตอร์เข้ามาชุดแรก 22 ลำ แต่การโอนกองบินของตชด.ก็ทำไม่ได้ เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกายุบรวมกองบินเข้าด้วยกัน ทางวังยังได้ช่วยสนับสนุนให้ตชด.ได้รับยุทโธปกรณ์ใหม่ส่วนที่ดีที่สุดไปและอีกไม่กี่ปีต่อมาก็ได้ควบคุมการบินทั้งหมดของตำรวจ เป็นไปตามพระราชประสงค์ที่จะรักษากองกำลังส่วนพระองค์เอาไว้

พระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อสาธารณชนนับวันจะดุดันมากขึ้นทุกที พระราชกรณีกิจทางทหารและการวางพระองค์ในหมู่ทหาร การเสด็จเยือนสหรัฐฯเพื่อทรงเจรจาความด้านความมั่นคง เป็นการตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ใช้เวลาอยู่แต่กับดนตรีแจ๊ซและเรือใบเท่านั้น รัฐบาลวอชิงตันได้เพิ่มงบประมาณและยุทโธปกรณ์ให้ทหารไทยตามที่ทรงร้องขอ ทหารไทย 10,000 นายแรกก็ไปถึงไซ่ง่อนเป็นการตอบแทนในเดือนกันยายน 2510 แม้ว่าวอชิงตันยังคงติดต่อธุระการงานผ่านจอมพลถนอมกับจอมพลประภาสเป็นหลักแต่พระองค์ก็ทรงเริ่มมีบทบาทสร้างอำนาจเหนือการเมืองไทย

แม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมักจะทรงมีพระราชดำรัสที่ค่อนข้างวกวนคลุมเคลือโดยเจตนาอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่ทรงมีพระทัยตั้งมั่นและลนลานในการที่จ้องทำลายล้างแนวคิดและขบวนการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยทรงร่วมปลุกปั่นสร้างภาพที่น่าหวาดกลัวแก่ขบวนการประชาธิปไตยหรือที่เรียกกันว่าการปลุกผีคอมมิวนิสต์ ในขณะที่ทรงปกป้องเกื้อหนุนเผด็จการทหารที่โหดร้ายป่าเถื่อนและทุจริตขี้ฉ้อในนามกองทัพของพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด......


...........
+++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น